ใบงานบทที่ 2
จงอธิบายถึงพัฒนาการของการบริหารงานท้องถิ่นโดยเปรียบเทียบระหว่างก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
พ.ศ.2475กับหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
ว่ามีสาระสำคัญอย่างไร
การปกครองท้องถิ่นของประเทศไทยในยุคเริ่มต้นได้รับอิทธิพลทางความคิดจากประเทศตะวันตกและชนชั้นสูงที่เป็นผู้มีอำนาจในการปกครองประเทศมิได้เกิดขึ้นจากข้อเรียกร้องและความต้องการของประชาชนภายในท้องถิ่น จนกระทั่งปี พ.ศ. 2530 กระแสแนวความคิดเรื่องการกระจายอำนาจและการปกครองตนเองของท้องถิ่นเริ่มเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางมากขึ้นซึ่งต่อมานาไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดจากการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ที่ได้กำหนดหลักการและวิธีการในการปกครองท้องถิ่นเอาไว้อย่างละเอียดและชัดเจนกว่ารัฐธรรมนูญที่เคยมีมาในอดีตอันนาไปสู่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบ โครงสร้างและการบริหารจัดการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในปัจจุบัน
พัฒนาการของการปกครองท้องถิ่นไทยก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
พ.ศ. 2475
การปกครองท้องถิ่นของไทยในรูปแบบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
เริ่มกำเนิดขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งได้ทรงให้มีการจัดตั้งสุขาภิบาลกรุงเทพขึ้นในปี
พ.ศ. 2440 ภายใต้กฎหมายซึ่งอาจถือว่าเป็นกฎหมายเกี่ยวกับการปกครองส่วนท้องถิ่นฉบับแรกคือพระราชกำหนดสุขาภิบาลกรุงเทพ
ฯ ร.ศ. 116 เพื่อทำหน้าที่ในการรักษาความสะอาด
ตลอดจนดำเนินการจัดเก็บและกาจัดขยะมูลฝอยและสิ่งโสโครกต่าง ๆ สุขาภิบาลกรุงเทพ บริหารงานในรูปของคณะกรรมการ
ประกอบด้วยเสนาบดี กระทรวงนครบาลเป็นประธานคณะกรรมการ เจ้าพนักงานแพทย์สุขาภิบาลและเจ้าพนักงานช่างใหญ่สุขาภิบาลเป็นคณะกรรมการ
มีอำนาจในการตัดสินใจในกิจการต่าง ๆ ของสุขาภิบาล โดยมีเจ้าหน้าที่ของสุขาภิบาลเป็นผู้ปฏิบัติงาน
แม้ว่าการจัดตั้งสุขาภิบาลกรุงเทพไม่เป็นไปตามหลักการของการปกครองท้องถิ่น
ซึ่งจะต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเลือกผู้บริหารองค์กรปกครองท้องถิ่น แต่ในสภาพสังคมซึ่งประชาชนยังไม่มีความรู้ความเข้าใจในการปกครองท้องถิ่นมากนักก็ถือได้ว่าเป็น
จุดเริ่มต้นของการกระจายอำนาจ ในการบริหารจัดการแก่ท้องถิ่นในระดับหนึ่งต่อมาในปี
พ.ศ. 2448 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้กล่าวตำหนิในที่ประชุมเสนาบดีว่าตลาดท่าจีน
ตำบลท่าฉลอม เมืองสมุทรสาครไม่มีความเป็นระเบียบและสกปรกมาก สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยจึงได้กล่าวตำหนิ ไปยังข้าราชการเมืองสมุทรสาครทำให้เกิดการปรับปรุงพัฒนาดีขึ้น
ข้าราชการพ่อค้าและประชาชนในตำบลท่าฉลอมได้ร่วมมือกันจัดระเบียบและปรับปรุงความสะอาด
ในเขตพื้นที่ของตนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพอพระราชหฤทัยและเห็นว่าการบริหารจัดการลักษณะนี้ สอดคล้องกับระบบการบริหารที่ใช้กันอยู่ในแหลมมลายู
ซึ่งได้รับอิทธิพลจากประเทศอังกฤษ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงประกาศแก้ไขกฎหมายภาษีโรงร้านและจัดตั้งสุขาภิบาลท่าฉลอม
เมืองสมุทรสาครเมื่อวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2449 และเริ่มดำเนินกิจการเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2449 การดำเนินการของสุขาภิบาลท่าฉลอมได้ผลดี เป็นที่พอพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จึงดำริที่จะให้มีการนำการบริหารจัดการชุมชนเช่นเดียวกับสุขาภิบาลท่าฉลอมไปใช้กับท้องถิ่นอื่น
ๆ ด้วย แต่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ได้ท้วงติงว่า ควรจะปล่อยให้เป็นความประสงค์ของราษฎรในท้องถิ่นไม่ควรเกิดขึ้นจากการกำหนดหรือการบังคับจากรัฐบาล
หากจะดำเนินการจัดตั้งสุขาภิบาลขึ้นในหัวเมืองต่าง ๆ ก็อาจจะตราเป็นกฎหมายซึ่งกำหนดรูปแบบ
วิธีการดำเนินการ รวมถึงหลักเกณฑ์ของชุมชนที่เหมาะสมจะจัดตั้งสุขาภิบาลขึ้นในหัวเมืองต่าง
ๆ ในลักษณะของหลักเกณฑ์ทั่วไป ท้องถิ่นใดเข้าตามหลักเกณฑ์และประสงค์จะจัดตั้งสุขาภิบาลก็ให้เสนอกระทรวงมหาดไทย
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นด้วยกับความคิดนี้ หลักเกณฑ์และวิธีการจัดตั้งสุขาภิบาลในหัวเมืองอื่น
ๆ ได้กำหนดขึ้นโดยการประกาศใช้พระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาลตามหัวเมือง ร.ศ. 127 โดยมีสาระสำคัญว่า เมื่อข้าหลวงเทศาภิบาลเห็นสมควรจัดการให้มีสุขาภิบาลขึ้นในท้องที่ใดก็ได้ให้ปรึกษาหารือกับกำนัน
ผู้ใหญ่บ้าน หากเห็นชอบด้วยกันจึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจัดตั้งสุขาภิบาลขึ้นในท้องที่นั้นทั้งนี้ภายใต้หลักเกณฑ์ความเหมาะสมด้านเศรษฐกิจและสังคมแห่งท้องที่นั้น
สุขาภิบาลตามพระราชบัญญัตินี้แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ สุขาภิบาลสำหรับเมือง ซึ่งจัดตั้งในท้องที่ที่มีความเจริญมากและมีราษฎรตั้งบ้านเรือนอยู่หนาแน่น
มีสภาพทางเศรษฐกิจดีและสุขาภิบาลสำหรับตำบล ซึ่งจัดตั้งขึ้นสำหรับท้องที่ในตำบลซึ่งมีความเจริญพอสมควร
หน้าที่หลักของสุขาภิบาลคือการรักษาความสะอาด
การป้องกันโรคติดต่อหรือโรคระบาด การบำรุงรักษาเส้นทางการสัญจรและการศึกษาขั้นพื้นฐาน
โดยใช้งบประมาณในการบริหารจัดการภาษีบางลักษณะที่เก็บได้ในท้องที่นั้น
ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีดำริที่จะปรับปรุงระบบการปกครองท้องถิ่นของไทย
ให้มีลักษณะเป็นประชาธิปไตยและมีความเป็นสากลมากยิ่งขึ้น โดยพระองค์ทรงเห็นว่าการปกครองท้องถิ่นรูปแบบเทศบาล น่าจะมีความเหมาะสมนอกจากนั้นยังเป็นการให้ความรู้ทางการปกครองในระบบประชาธิปไตยกับประชาชนด้วยดังนั้น
เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2470 ได้ทรงจัดตั้งคณะกรรมการคณะหนึ่งขึ้นเพื่อศึกษาความเหมาะสม ในการจัดการปกครองรูปแบบ municipality
(ซึ่งสมัยนั้นเรียกว่าประชาภิบาล)ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการ
ขึ้นมาทำหน้าที่ยกร่างพระราชบัญญัติเทศบาลตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการการศึกษาความเหมาะสม
เมื่อ พ.ศ. 2473 แต่กฎหมายฉบับนี้ก็ไม่ได้ประกาศใช้จนกระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
พ.ศ. 2475
แม้ว่าในช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
พ.ศ. 2475 จะไม่มีระบบการปกครองท้องถิ่นในประเทศไทยอย่างชัดเจนมากนัก แต่การจัดตั้งสุขาภิบาลท่าฉลอมและการประกาศใช้พระราชบัญญัติสุขาภิบาลตามหัวเมือง
ร.ศ. 127 หรือความพยายามให้มีพระราชบัญญัติเทศบาลในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
แสดงให้เห็นได้ชัดเจนถึงการพยายามปรับปรุงระบบการปกครองท้องถิ่นตลอดจนมีแนวคิดเกี่ยวกับการกระจายอำนาจการปกครองจากส่วนกลางสู่ท้องถิ่นมาเป็นเวลานานแล้ว
พัฒนาการของการปกครองท้องถิ่นไทยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
พ.ศ. 2475
การปกครองท้องถิ่นรูปแบบสุขาภิบาล
การจัดตั้งสุขาภิบาลตามหัวเมืองและสุขาภิบาลท้องที่ตามลำดับ
ต่อมาหลังจากที่พยายามปรับเปลี่ยนรูปแบบของการปกครองท้องถิ่นมาเป็นรูปแบบเทศบาล การจัดการปกครองท้องถิ่นรูปแบบสุขาภิบาลก็ลดบทบาทและความสำคัญลง
ใน พ.ศ. 2495 รัฐบาลเห็นว่าการพยายามจัดตั้งเทศบาลให้เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลักของประเทศและให้มีเทศบาลทุกตำบล ไม่ประสบผลสำเร็จ จึงรื้อฟื้นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบสุขาภิบาลขึ้นมาใหม่ ทั้งนี้เนื่องจากพิจารณาเห็นว่าการจัดตั้งสุขาภิบาลนั้นทำได้ง่าย
และใช้งบประมาณไม่มากนัก อีกทั้งมีความคล่องตัวทางการบริหารตามสมควร
อีกประการหนึ่งไม่ค่อยมีปัญหาความขัดแย้งระหว่างการบริหารงานของสุขาภิบาลกับราชการส่วนภูมิภาค
ทั้งนี้เนื่องจากมีข้าราชการส่วนภูมิภาคเป็นผู้บริหารและคณะกรรมการในสุขาภิบาลอยู่แล้ว
ดังนั้นใน พ.ศ. 2495 จึงได้มีการประกาศใช้
พระราชบัญญัติสุขาภิบาล พ.ศ. 2495 ซึ่งมีโครงสร้างการบริหารงานแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ
1) กรรมการโดยตำแหน่ง
ได้แก่ นายอำเภอ แห่งท้องที่ซึ่งเป็นที่ตั้งของสุขาภิบาล เป็นประธานกรรมการ หัวหน้าสถานีตำรวจภูธร
สาธารณสุขอำเภอ และสมุห์บัญชีอำเภอที่สุขาภิบาลนั้นตั้งอยู่
2) กำนันและผู้ใหญ่บ้าน ของตำบลและหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในเขตสุขาภิบาล
3) กรรมการซึ่งมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ในเขตสุขาภิบาลจานวน 4 คน มีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ
5 ปี
พระราชบัญญัติสุขาภิบาลฉบับ
พ.ศ. 2495 มีผลใช้บังคับเป็นเวลานานถึง 33 ปี จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2528 ซึ่งขณะนั้นสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคม ของประเทศได้เปลี่ยนแปลงไปพอสมควร
จึงได้มีการพิจารณาทบทวนหลักการและความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของเนื่องจากเห็นว่าข้าราชการมีบทบาทในการชี้นำการบริหารมากเกินไป
ไม่สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตยและการปกครองท้องถิ่นมากนัก ในที่สุดได้มีการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติสุขาภิบาล
พ.ศ.2495 และประกาศใช้พระราชบัญญัติสุขาภิบาล
พ.ศ. 2528 แทน ในส่วนที่แก้ไขปรับปรุงมีประเด็นสำคัญดังนี้
1. สุขาภิบาลที่มีรายได้ไม่เกิน
5 ล้านบาท
กรรมการโดยตำแหน่งของสุขาภิบาลได้แก่
นายอำเภอ หรือปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอที่สุขาภิบาลตั้งอยู่เป็นประธาน
กำนันตำบลที่อยู่ในเขตสุขาภิบาล และปลัดอำเภอที่ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งคนหนึ่งเป็นกรรมการโดยการแต่งตั้ง
และมีคณะกรรมการสุขาภิบาลซึ่งมาจากการเลือกตั้งจานวน 9 คน มีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ
4 ปี ซึ่งในจำนวน 9 คนนี้ให้ที่ประชุมคณะกรรมการเลือกสมาชิกคนหนึ่งทำหน้าที่เป็นรองประธานมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ
1 ปี
2. สุขาภิบาลที่มีรายได้เกิน
5 ล้านบาท
พระราชบัญญัติสุขาภิบาลฉบับนี้ยังได้ระบุว่าเมื่อสุขาภิบาลใดมีฐานะทางการคลังเพียงพอที่จะบริหารงานของตนได้
โดยมีรายได้ไม่รวมเงินอุดหนุน ไม่ต่ำกว่า 5
ล้านบาท ให้กระทรวงมหาดไทยประกาศรายชื่อสุขาภิบาลนั้นในราชกิจจานุเบกษา
ให้นายอำเภอพ้นจากตำแหน่งประธานกรรมการสุขาภิบาลไปทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาและให้เลือกกรรมการที่มาจากการเลือกตั้งคนหนึ่งทำหน้าที่เป็นประธานสุขาภิบาล
กรณีดังกล่าวนับว่าเป็นกฎหมายที่ทำให้กระทรวงมหาดไทยสูญเสียอำนาจในการควบคุมท้องถิ่นไปมาก
การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของการปกครองท้องถิ่นรูปแบบสุขาภิบาลเกิดขึ้นเมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พ.ศ. 2540 โดยในมาตรา285 กำหนดว่าองค์กรปกครองท้องถิ่นต้องมีสมาชิกสภาท้องถิ่น
มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน ส่วนผู้บริหารท้องถิ่นหรือคณะผู้บริหารท้องถิ่นให้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนหรือมาจากความเห็นชอบของสภาท้องถิ่น
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 จะเห็นได้ว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบสุขาภิบาลเป็นการบริหารงานในรูปแบบของคณะกรรมการ
มิใช่สภากับฝ่ายบริหาร ดังนั้นจึงขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญจำเป็นต้องมีการแก้ไขหรือยกเลิกพระราชบัญญัติสุขาภิบาล
พ.ศ. 2528 และที่แก้ไขเพิ่มเติมทุกฉบับ
และเปลี่ยนแปลงไปใช้รูปแบบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอันที่มีความเหมาะสมกับสภาพสังคมและเศรษฐกิจ
ซึ่งในที่สุดก็ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติเปลี่ยนแปลงฐานะของสุขาภิบาลเป็นเทศบาล
ตำบล พ.ศ. 2542 ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่
13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542
การปกครองท้องถิ่นรูปแบบเทศบาล
ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีความคิดว่าประเทศไทยควรได้มีการกระจายอำนาจให้ประชาชนปกครองตนเองเช่นเดียวกับในประเทศที่พัฒนาแล้วซึ่งมีระบบการปกครองท้องถิ่นแบบ
municipality ซึ่งหมายถึงการให้ประชาชนเลือกตั้งบุคคลหรือคณะบุคคลขึ้นมาบริหารกิจการของประชาชนในท้องถิ่นในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความจำเป็นขั้นพื้นฐานและสาธารณูปโภคต่าง
ๆ
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 คณะราษฎรมีนโยบายกระจายอำนาจการปกครองไปสู่ประชาชน
และเห็นว่าการปกครองท้องถิ่นรูปแบบเทศบาลมีความเหมาะสมและเป็นรูปแบบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่นิยมกันโดยแพร่หลายในยุโรป
และประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้าในตะวันตก
จึงได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติจัดระเบียบเทศบาลพุทธศักราช 2476 ซึ่งเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพียงรูปแบบเดียวที่ปรากฏอยู่ใน
พระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม
พระราชบัญญัติจัดระเบียบเทศบาลพุทธศักราช 2476 ได้กำหนดให้มีเทศบาล 3 ประเภทคือ เทศบาลตำบล เทศบาลเมือง
และเทศบาลนคร โดยเรียงลาดับจากท้องที่ที่มีความเจริญน้อย ไปสู่ท้องที่ที่มีความเจริญมากขึ้นตามลำดับ
โดยกำหนดให้เทศบาลทุกประเภทมีฐานะเป็นนิติบุคคล และรัฐบาลมีนโยบายเบื้องต้นที่จะจัดตั้งเทศบาลให้ครบทุกตำบลในราชอาณาจักรซึ่งมีอยู่
4,800 ตำบลแต่ในที่สุดก็ไม่สามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมาย คงมีท้องที่ต่าง
ๆ ที่ได้รับการจัดตั้งเป็นเทศบาลไม่มากนัก กล่าวคือช่วงปี พ.ศ.
2478-2480 จัดตั้งได้เพียง 95 แห่งเท่านั้น สาเหตุเนื่องมาจากเทศบาลแต่ละแห่งมีสภาพสังคม
เศรษฐกิจแตกต่างกันอย่างมากบางเทศบาลมีรายได้น้อยมากไม่พอกับการบริหารกิจการของเทศบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพนอกจากนั้นประชาชนไม่มีความรู้ความเข้าใจอย่างเพียงพอ
จึงทำให้การบริหารงานปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบเทศบาลไม่บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ได้คาดหมายไว้ต่อมาใน
พ.ศ. 2481 และ พ.ศ.
2486 ได้มีการยกเลิกพระราชบัญญัติจัดระเบียบเทศบาล พ.ศ. 2476 และพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2481 ตามลาดับ
เมื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติเทศบาล
พ.ศ. 2496 ซึ่งเป็นพระราชบัญญัติเทศบาลที่ยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบันแต่ก็ได้มีการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์บ้านเมืองที่เปลี่ยนแปลงจานวน
16 ครั้ง
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบเทศบาลนับว่ามีความสำคัญมากเนื่องจากครอบคลุมพื้นที่ที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจของประเทศ (เขตเมือง) เป็นส่วนใหญ่
ดังนั้นการปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบเทศบาลจึงควรได้รับการพัฒนาประสิทธิภาพทางการบริหารเพื่อให้สามารถตอบสนองกับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศและระบบการบริหารจัดการเมืองต่าง
ๆ
การปกครองท้องถิ่นรูปแบบองค์การบริหารส่วนจังหวัด
จุดกำเนิดของการปกครองท้องถิ่นรูปแบบองค์การบริหารส่วนจังหวัดเริ่มต้นจากส่วนที่เรียกว่า
สภาจังหวัด ซึ่งได้กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติจัดระเบียบเทศบาล พุทธศักราช 2476 ประกอบด้วยสมาชิกสภาจังหวัดซึ่งมาจากการเลือกตั้งของราษฎรในเขตจังหวัดมีอำนาจในการทำหน้าที่ให้คาปรึกษาแก่รัฐบาลแบ่งสรรเงินอุดหนุนให้แก่เทศบาลในเขตจังหวัด
รวมถึงตรวจสอบการทำงานของเทศบาลในเขตจังหวัดตลอดจนเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดในกิจการเกี่ยวกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
แต่ไม่ได้มีฐานะเป็นองค์กรบริหารหรือนิติบุคคลแต่อย่างใด ต่อมาใน พ.ศ. 2481ได้มีการตรา พระราชบัญญัติสภาจังหวัด พ.ศ. 2481 ขึ้นเพื่อแยกสภาจังหวัดออกจากเทศบาลสมาชิกสภาจังหวัดมาจากการเลือกตั้งของประชาชนในเขตจังหวัดทำหน้าที่เป็นสภาที่ปรึกษาคณะกรมการจังหวัด
ซึ่งต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2495 ได้โอนอำนาจของคณะกรมการจังหวัดเป็นของผู้ว่าราชการจังหวัด
สภาจังหวัดจึงทำหน้าที่เป็นสภาที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ก็มิได้มีฐานะเป็นนิติบุคคล
ดังนั้นจึงได้ประกาศใช้ พระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด
พ.ศ. 2498 ซึ่งมีสาระสำคัญคือได้มีการจัดตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีฐานะเป็นนิติบุคคล
มีงบประมาณ บุคลากร และสามารถตรากฎหมายของท้องถิ่นขึ้นบังคับใช้ภายในท้องถิ่นของตนตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้
ตลอดจนรับผิดชอบดูแลพื้นที่นอกเขตเทศบาลและสุขาภิบาลภายในจังหวัดหนึ่งๆ โดยมีโครงสร้างประกอบด้วย 2 ส่วนคือสภาจังหวัดและฝ่ายบริหารองค์การบริหารส่วนจังหวัด
1. สภาจังหวัด
ประกอบด้วยสมาชิกสภาจังหวัด (ส.จ.) ซึ่งมาจากการเลือกตั้งของประชาชน มีจานวน 18 - 36 คน
ขึ้นอยู่กับจำนวนประชากรในจังหวัดนั้น มีวาระดำรงตำแหน่งคราวละ 5 ปี ทำหน้าที่ในการออกกฎหมายที่อยู่ในเขตอำนาจหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด
นอกจากนั้นทำหน้าที่ควบคุมและตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหารโดยการตั้งกระทู้ถาม การเป็นกรรมการสภาจังหวัดชุดต่าง
ๆ เป็นต้น
2. ฝ่ายบริหารองค์การบริหารส่วนจังหวัด
ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดทำหน้าที่เสมือนเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด
ปลัดจังหวัดทำหน้าที่เสมือนเป็นปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดโดยตำแหน่ง นายอำเภอทุกอำเภอทำหน้าเสมือนเป็นที่เป็นหัวหน้าส่วนอำเภอ
และมีผู้ปฏิบัติงานประจำเรียกว่า“ข้าราชการส่วนจังหวัด”
ในปี พ.ศ. 2540 ได้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างขององค์การบริหารส่วนจังหวัดครั้งสำคัญ
ส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบจากการที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดไม่มีพื้นที่ดำเนินการเนื่องจากมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบลและอีกส่วนหนึ่งมาจากกระแสประชาธิปไตยที่เรียกร้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองท้องถิ่น
และให้รัฐบาลเร่งให้มีการกระจายอำนาจมากขึ้นซึ่งพรรคการเมืองเกือบทุกพรรคใช้เป็นจุดหลักในการแถลงนโยบายเรื่องการกระจายอำนาจให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นในการรณรงค์การเลือกตั้ง
ดังนั้นเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2540 จึงได้มีการยกเลิกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด
พ.ศ. 2498 และที่แก้ไขเพิ่มเติมทั้งหมดและประกาศใช้
พระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ.
2540
การปกครองท้องถิ่นรูปแบบองค์การบริหารส่วนตำบล
การจัดระบบการปกครองท้องถิ่นในระดับตำบล
หมู่บ้าน ซึ่งถือว่าเป็นฐานรากของการปกครองประเทศอย่างแท้จริง แม้จะได้มีการจัดระบบการปกครองท้องที่ในระดับตำบล
หมู่บ้าน ขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและได้ปรับปรุงให้เหมาะสมยิ่งขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
โดยตราพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 ซึ่งทำให้การจัดระบบการปกครองในชนบทเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพตลอดมาก็ตาม
แต่การปกครองท้องที่ในลักษณะการปรึกษาหารือในรูปของสภาท้องถิ่น ไม่ใช่ตัดสินใจโดยคนเดียว
ในขณะเดียวกันมีองค์กรการบริหารซึ่งมีความเป็นอิสระ (autonomy) ในการดำเนินกิจการของท้องถิ่นมิใช่รับคำสั่งในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของการปกครองส่วนภูมิภาคดังเช่นระบบกำนันและผู้ใหญ่บ้าน
ตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.2457 ก็ยังไม่เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นการพยายามจัดรูปแบบการปกครองท้องถิ่นที่เหมาะสมกับชนบทจึงดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง
ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดการจัดตั้งเทศบาลตำบลให้ครบทุกตำบลหรือองค์การบริหารส่วนจังหวัดก็ดี
แต่เมื่อศึกษาในภาพรวมแล้วทั้งรูปแบบเทศบาลตำบลและองค์การบริหารส่วนจังหวัด ก็ยังมิใช่รูปแบบการปกครองท้องถิ่นที่เหมาะสมกับชนบทระดับตำบลและหมู่บ้านอย่างแท้จริง
1. การจัดระบบการบริหารตำบลตามคำสั่งกระทรวงมหาดไทยที่
222/2499 ให้ทุกตำบลจัดตั้งสภาตำบลและคณะกรรมการตำบลขึ้น
1.1 สภาตำบลประกอบด้วยสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งของราษฎร
หมู่บ้านละ 2 คน หรือจากการคัดเลือกของนายอำเภอโดยการปรึกษากรรมการหมู่บ้านหรือกรรมการตำบล
โดยมีนายอำเภอท้องที่หรือผู้ที่นายอำเภอมอบหมายทำหน้าที่เป็นประธานสภาตำบลและให้คัดเลือกครูประชาบาลหรือราษฎรคนหนึ่งทำหน้าที่เป็นเลขานุการสภาตำบล
2. การจัดระบบการบริหารตำบลตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนตำบล
พ.ศ. 2499
สาระสำคัญของพระราชบัญญัติคือให้มีการจัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบล
มีฐานะเป็นนิติบุคคล มีรายได้และรายจ่ายตลอดจนบุคลากรเป็นของตนเองมีความคล่องตัวทางการบริหารตามสมควร
อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายของนายอำเภอ
องค์การบริหารส่วนตำบลประกอบด้วยสภาตำบลและคณะกรรมการตำบลเช่นเดียวกับสภาตำบลแต่มีความแตกต่างกันในรูปแบบของบุคคลที่เป็นกรรมการ
ดังนี้
2.1 สภาตำบล ประกอบด้วยกำนันและผู้ใหญ่บ้านทุกคน ในตำบลเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง
และสมาชิกสภาตำบลหมู่บ้านละ1 คนซึ่งราษฎรเลือกตั้งมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 5 ปี
2.2 คณะกรรมการตำบล ประกอบด้วย กำนันท้องที่เป็นประธาน แพทย์ประจำตำบล
ผู้ใหญ่บ้านทุกคนในตำบล และกรรมการซึ่งนายอำเภอแต่งตั้งจากครูใหญ่ของโรงเรียน หรือผู้ทรงคุณวุฒิ
อีกไม่เกิน 5 คน
ต่อมาในปี พ.ศ. 2511 ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติฉบับนี้เล็กน้อยเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการทำงานยิ่งขึ้น
และในปี พ.ศ. 2515 ได้มีประกาศคณะปฏิวัติ
ฉบับที่ 326/2515 ลงวันที่ 13 ธันวาคม
2515 สั่งให้ยกเลิกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนตำบลแบบ สภาตำบล
ซึ่งมีการปรับโครงสร้างใหม่ โดยมีเพียงส่วนการบริหารเรียกว่า คณะกรรมการสภาตำบล
3. การจัดระบบการบริหารตำบล
ตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.
2537
วันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2537 ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล
พ.ศ. 2537 ซึ่งกำหนดให้สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบลเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและมีฐานะเป็นนิติบุคคล
โดยมีหลักเกณฑ์ดังนี้
3.1 สภาตำบล หมายถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีฐานะเป็นนิติบุคคลซึ่งจัดตั้งขึ้น
3.2 องค์การบริหารส่วนตำบล
หมายถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีฐานะเป็นนิติบุคคลซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อตำบลที่มีรายได้ทุกประเภท
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ หมายถึง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่จัดตั้งขึ้นเป็นกรณีพิเศษตามกฎหมายเฉพาะของตนเองซึ่งในปัจจุบันนี้ประเทศไทยมีการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษอยู่ 2 รูปแบบด้วยกันคือ กรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา
1. กรุงเทพมหานคร
1.1 วิวัฒนาการของกรุงเทพมหานคร
การปกครองส่วนท้องถิ่นของกรุงเทพมหานครอาจแบ่งออกได้เป็น 3 ช่วง คือ การปกครองแบบราชการส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น
(พ.ศ. 2476-2514) การยุบรวมจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี
(พ.ศ. 2514-2518) และการปกครองแบบท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ
(พ.ศ. 2518-ปัจจุบัน)
1.1.1 การปกครองแบบราชการส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น
หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ
พ.ศ.2475 และรัฐบาลได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรไทย
พ.ศ. 2476 ซึ่งเป็นกฎหมายหลักในการกำหนดรูปแบบโครงสร้างการบริหารราชการแผ่นดิน
ในกฎหมายดังกล่าวได้แบ่งระบบบริหารราชการแผ่นดินของประเทศออกเป็น 3 ส่วน คือ ราชการบริหารส่วนกลาง ซึ่งได้แก่ กระทรวง และกรมต่าง ๆ ส่วนภูมิภาคได้แก่
จังหวัดและอำเภอทั่วประเทศ ส่วนท้องถิ่น
ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2498 หลังจากได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด
พ.ศ. 2498 ซึ่งกำหนดให้จังหวัดต่าง ๆ มีการจัดตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัดขึ้นในฐานะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดูแลรับผิดชอบเขตพื้นที่นอกจากเขตเทศบาลและสุขาภิบาล
ในส่วนของจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรีก็ได้จัดตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัดพระนครและองค์การบริหารส่วนจังหวัดธนบุรีขึ้นตามกฎหมายนี้
ดังนั้นการปกครองจังหวัดพระนครและธนบุรีจึงประกอบด้วยระบบการบริหารราชการส่วนภูมิภาค(จังหวัด อำเภอ) ซึ่งเป็นระบบหลักและระบบการปกครองส่วนท้องถิ่น
(เทศบาล สุขาภิบาล และองค์การบริหารส่วนจังหวัด)ในฐานะการปกครองส่วนท้องถิ่น
ในปี พ.ศ. 2514 จอมพลถนอม กิตติขจร
ได้ทารัฐประหารยึดอำนาจการปกครองประเทศ และมีความเห็นว่าจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรีควรได้มีการยุบรวมเป็นจังหวัดเดียวกันเพื่อให้เป็นรูปแบบเฉพาะสำหรับการบริหารเมืองหลวงอีกทั้งก่อให้เกิดความประหยัดและสะดวกต่อประชาชนในการรับบริการมากยิ่งขึ้นจึงมีประกาศคณะปฏิวัติที่
24 ลงวันที่ 20 ธันวาคม 2514 ให้ 70 รวมจังหวัดพระนครกับจังหวัดธนบุรีและเรียกว่า
นครหลวงกรุงเทพธนบุรี และรวมองค์การบริหารส่วนจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรีเข้าด้วยกันเรียกว่าองค์การบริหารนครหลวงกรุงเทพธนบุรี
ในวันต่อมาก็ได้มีประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 25 ลงวันที่ 21 ธันวาคม
2514 ให้รวมเทศบาลนครกรุงเทพกับเทศบาลนครธนบุรีเข้าด้วยกันเรียกว่า เทศบาลนครหลวง
ต่อมาในปี พ.ศ. 2515 ได้มีประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่
335 ปรับเปลี่ยนรูปแบบการบริหารราชการของนครหลวงกรุงเทพธนบุรีอีกครั้งโดยการรวมเอาการบริหารราชการส่วนภูมิภาค
คือ นครหลวงกรุงเทพธนบุรี องค์การบริหารนครหลวงกรุงเทพธนบุรี และเทศบาลนครหลวงตลอดจนสุขาภิบาลทุกแห่งเข้าด้วยกัน
และจัดรูปแบบการบริหารราชการใหม่ เรียกว่า กรุงเทพมหานคร ขึ้นเมื่อวันที่
13 ธันวาคม พ.ศ. 2515 และมีฐานะเป็น
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ ซึ่งมีโครงสร้างทางการบริหารแบ่งออกเป็น
2 ส่วน คือ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครซึ่งเป็นฝ่ายบริหารและสภากรุงเทพมหานครซึ่งเป็นองค์กรฝ่ายนิติบัญญัติในปี
พ.ศ. 2517ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พ.ศ. 2517 ซึ่งถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่มีความเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด
นับจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศเป็นระบอบประชาธิปไตย เมื่อปี พ.ศ. 2475 และเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการปกครองท้องถิ่นอย่างชัดเจน
มาตราที่สำคัญคือมาตรา 216 ซึ่งบัญญัติว่าการปกครองท้องถิ่นทุกระดับ
รวมทั้งนครหลวง ให้มีสภาท้องถิ่นและผู้บริหารหรือคณะผู้บริหารการปกครองส่วนท้องถิ่น
มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
ในปี พ.ศ. 2518 ได้มีการประกาศใช้ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร
พ.ศ. 2518 ซึ่งมีสาระสำคัญ คือ
ให้กรุงเทพมหานครเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษในเขตนครหลวงและมีผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน
มีสถานะเป็นนิติบุคคล มีงบประมาณและบุคลากรเป็นของตนเอง การบริหารงานใช้รูปแบบสภากรุงเทพมหานครและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
รวมถึงให้ประชาชนมีอำนาจเข้าชื่อถอดถอนผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครได้พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร
พ.ศ. 2518 นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการปกครองท้องถิ่นรูปแบบพิเศษที่สมบูรณ์เนื่องจากมีการเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นโดยประชาชน
มิใช่การแต่งตั้งเหมือนที่ผ่านมา พระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้มาจนถึง พ.ศ. 2528 (ยกเว้นช่วง พ.ศ.
2519-2521ได้มีการรัฐประหารโดยคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ได้มีการออกคำสั่งให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและสมาชิกสภากรุงเทพมหานครพ้นจากตำแหน่งและแต่งตั้งผู้บริหารและสมาชิกสภากรุงเทพมหานครเข้าไปแทน)
ใน พ.ศ.2528 จึงได้มีการยกเลิกพระราชบัญญัติกรุงเทพมหานคร
พ.ศ. 2518 และประกาศใช้พระราชบัญญัติกรุงเทพมหานคร
พ.ศ. 2528 ซึ่งเป็นฉบับปัจจุบันโดยหลักการทั่วไปก็ยังคงคล้ายคลึงกับฉบับ
พ.ศ. 2518 แต่มีการปรับปรุงส่วนที่เป็นรายละเอียดต่างๆให้มีความสมบูรณ์และสะดวกคล่องตัวขึ้น
พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร
พ.ศ. 2528 จนถึงปัจจุบันนี้ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม (ครั้งที่
2 ) เมื่อปี พ.ศ. 2534 แก้ไขเพิ่มเติม
(ครั้งที่ 3) เมื่อปี พ.ศ.
2539 แก้ไขเพิ่มเติม (ครั้งที่ 4)เมื่อปี พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็นการแก้ไขครั้งล่าสุดเพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พ.ศ. 2540
2. เมืองพัทยา
เมืองพัทยาเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่กำหนดขึ้นหลังสุดในบรรดาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบต่าง
ๆ ในประเทศไทยโดยมีจุดกำเนิดมาจากหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง
จังหวัดชลบุรี การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศและเมืองหลวงในช่วงปี พ.ศ. 2510- 2520 ได้มีส่วนทำให้พัทยามีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากความสวยงามของภูมิประเทศเมืองชายทะเลและระยะทางที่ไม่ไกลจากกรุงเทพ ทำให้ชนชั้นกลางซึ่งมีรายได้สูงพากันหลั่งไหลไปพักผ่อนท่องเที่ยวที่พัทยาเป็นจำนวนมากส่งผลให้เศรษฐกิจของพัทยาเจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจากธุรกิจการท่องเที่ยว
เมื่อ พ.ศ. 2521 กระทรวงมหาดไทยได้เสนอร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยาและรัฐสภาได้อนุมัติร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวในปีเดียวกัน
สาระสำคัญของพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา พ.ศ.
2521 สรุปได้ดังนี้
1) ให้เมืองพัทยาเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษภายใต้แนวคิดแบบผู้จัดการเมือง และมีฐานะเป็นนิติบุคคลมีทรัพย์สินและบุคลากรเป็นของตนเอง
2) โครงสร้างทางการบริหารประกอบด้วย
2 ส่วน คือ สภาเมืองพัทยา และฝ่ายบริหาร
2.1) สภาเมืองพัทยา ประกอบด้วยสมาชิก 2 ประเภทคือประเภทมาจากการเลือกตั้งของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเมืองพัทยาจานวน
9 คน และสมาชิกประเภทแต่งตั้งโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอีกจานวน
8 คน สมาชิกสภาเมืองพัทยาทั้ง 2 กลุ่มมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ
4 ปี
2.2) ฝ่ายบริหาร ได้แก่ ปลัดเมืองพัทยาซึ่งเข้ามาบริหารกิจการของเมืองพัทยาโดยการทำสัญญาว่าจ้างของนายกเมืองพัทยาภายใต้ความยินยอมของสภาเมืองพัทยา
มีอายุสัญญาจ้างคราวละ 4 ปี โดยบริหารงานภายใต้การควบคุมดูแลของสภาเมืองพัทยา
ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี ของการบริหารงานภายใต้รูปแบบผู้จัดการเมือง
เมืองพัทยาประสบปัญหาความยุ่งยากทั้งทางด้านการเมืองและการบริหารค่อนข้างมาก อันเนื่องมาจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างฝ่ายการเมือง
(สมาชิกสภาเมืองพัทยาและนายกเมืองพัทยา) กับปลัดเมืองพัทยา
ดังจะเห็นได้ว่าในช่วงตั้งแต่จัดตั้งเมืองพัทยาเมื่อปี พ.ศ.
2521 จนถึงปี พ.ศ. 2542 มีการเปลี่ยนแปลงปลัดเมืองพัทยามากกว่า
10 คน อายุการปฏิบัติงานเฉลี่ยเพียงคนละปีเศษเท่านั้น นอกจากนั้นก็มีปัญหาอื่น
ๆ เช่นปัญหาด้านงบประมาณไม่เพียงพอ ปัญหาการควบคุมจากส่วนกลาง ปัญหาระเบียบกฎหมายในการบริหารที่ยังขาดความคล่องตัว
ซึ่งกระทรวงมหาดไทยก็ได้มีการศึกษาวิจัยเพื่อปรับปรุงแก้ไขระบบการบริหารงานของเมืองพัทยามาโดยตลอด
เช่น เรื่องการกระจายอำนาจให้เมืองพัทยามากขึ้น การปรับปรุงระบบภาษีอากรและรายได้ของเมืองพัทยา
การปรับปรุงระบบการบริหารงานบุคคล ตลอดจนอำนาจหน้าที่ของเมืองพัทยา เป็นต้น อย่างไรก็ตามตั้งแต่
พ.ศ. 2521-2542 ก็ไม่ได้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา
พ.ศ. 2521 จนกระทั่งมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พ.ศ. 2540 ทำให้กฎหมายเดิมมีหลายประเด็นซึ่งขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
จึงได้ยกเลิกกฎหมายฉบับเดิมและประกาศใช้กฎหมายฉบับใหม่ คือ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา
พ.ศ. 2542